วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความหมายของสิทธิมนุษยชน

สิทธิมนุษยชน(Human Rights) หมาย ถึง สิทธิของความเป็นมนุษย์ ในอดีตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย จนภายหลังที่ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติแล้ว คำว่า สิทธิมนุษยชน จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ในกฎบัตรสหประชาชาติได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้หลายแห่ง เช่นในอารัมภบท ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของสหประชาชาติไว้ว่า


“เพื่อเป็นการยืนยันและให้การรับรองถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษยชาติ"


ในตัวกฎบัตรสหประชาชาติได้แต่เพียงกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้ในที่ต่างๆ เช่น ในอารัมภบทดังที่กล่าวแล้ว ในมาตรา 1 มาตรา 13 มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 76 เท่านั้น แต่มิได้ให้คำนิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสิทธิมนุษยชนไว้แต่อย่างใด ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (Universal Declaration of Human Rights) ซึ่งถือเป็นแม่บทของสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน ได้แต่เพียงจำแนกสิทธิมนุษยชนออกเป็นประเภทต่างๆไว้เท่านั้น มิได้มีคำอธิบายหรือบทนิยามของคำว่าสิทธิมนุษยชนไว้แต่อย่างใด เช่นเดียวกันสิทธิมนุษยชนตามที่ปฏิญญาสากลฯ ได้แจกแจงไว้ มีดังนี้


1. สิทธิทางแพ่งและทางการมือง (Political and Civil Rights) เป็นสิทธิตามธรรมชาติที่มีมาแต่ดั้งเดิม และปรากฏอยู่ในบทบัญญัติข้อ 1-21 สิทธิ ดังกล่าวประกอบไปด้วย สิทธิและเสรีภาพในการเคลื่อนไหว สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน สิทธิในการที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม สิทธิในความเป็นส่วนตัว สิทธิในการเลือกนับถือศาสนา สิทธิในการแสดงออกอย่างเสรี สิทธิในการลี้ภัยและสิทธิของผู้ถูกกระทำทารุณกรรมต่างๆ


2. สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (Economic Social and Cultural Rights) เป็นสิทธิที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติข้อ 22 เป็นต้นไป ได้แก่ สิทธิในการศึกษา สิทธิในการก่อตั้งสหภาพแรงงาน สิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่ดีและอย่างพอพียงตลอดจนสิทธิในการหยุดพักผ่อน จากการทำงาน เป็นต้น


อย่างไรก็ตามนักกฎหมายบางท่านมีความเห็นว่า สิทธิมนุษยชนหมายถึงทั้งสิทธิตามกฎหมายและสิทธิที่มิใช่สิทธิตามกฎหมาย ปราชญ์ทางกฎหมายท่านหนึ่งได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้ว่า


“สิทธิมนุษยชน คือ สิทธิทั้งหลายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในประเทศที่มีอารยธรรมว่า เป็นสิทธิพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ และในการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ เป็นสิทธิที่มีการคุ้มครองป้องกันในทางกฎหมายเป็นพิเศษสมกับความสำคัญของ สิทธิดังกล่าว”


จากคำจำกัดความข้างต้น สิทธิมนุษยชนจึง หมายถึง สิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่พึงมี เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่า หากมีการล่วงละเมิดต่อสิทธิดังกล่าว ย่อมจะได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยกฎหมาย เช่น สิทธิในชีวิตร่างกาย และความมั่นคงปลอดภัย สิทธิในการถือครองทรัพย์สิน ตลอดจนสิทธิในการเคลื่อนไหวและในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัย เป็นต้น นอกจากนี้ สิทธิมนุษยชนยังหมายถึง สิทธิที่พึงมีเพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพ คุณภาพชีวิต เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เช่น สิทธิในการเลือกนับถือศาสนา สิทธิในการเลือกที่จะประกอบอาชีพ สิทธิในการแสดงความคิดเห็นตลอดจนสิทธิในการมีส่วนร่วมในทางการเมือง เป็นต้น จะเห็นได้ว่า สิทธิมนุษยชนประกอบไปด้วยสิทธิต่างๆ ครอบคลุมวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย.

บทบัญบัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน



บทบัญบัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนต่อองค์การยูเนสโก(U.N.)
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) คือการประกาศเจตนารมณ์ในการร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความสำคัญในการวางกรอบ เบื้องต้นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และเป็นเอกสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนฉบับแรก ซึ่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ให้การรับรองตามข้อมติที่ 217 A (III) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 โดยประเทศไทยออกเสียงสนับสนุน
ความเป็นมาที่ปรากฏในคำปรารภ
"ด้วยเหตุที่การยอมรับศักดิ์ศรีประจำตัว และสิทธิซึ่งเสมอกันและไม่อาจโอนแก่กันได้ ของสมาชิกทั้งปวงแห่งครอบครัวมนุษย์เป็นรากฐานของเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพในพิภพ
ด้วยเหตุที่การเมินเฉย และดูหมิ่นเหยียดหยามสิทธิมนุษยชนได้ก่อให้เกิดการอันป่าเถื่อนโหดร้ายทารุณ ซึ่งได้กระทบกระเทือนมโนธรรมของมนุษยชาติอย่างรุนแรง และโดยเหตุที่ได้มีการประกาศปณิธานอันสูงสุดของสามัญชนว่าถึงวาระแห่งโลก แล้วที่มนุษย์จะมีเสรีภาพในการพูดและในความเชื่อถือ รวมทั้งมีเสรีภาพจากความกลัวและความต้องการ
ด้วยเหตุที่เป็นสิ่งจำเป็นสิทธิมนุษยชนควรได้รับความคุ้มครองโดยหลัก นิติธรรม ถ้าไม่พึงประสงค์ให้มนุษย์ต้องถูกบีบบังคับให้หาทางออก โดยการกบฏต่อทรราชและการกดขี่อันเป็นที่พึ่งแห่งสุดท้าย
ด้วยเหตุที่ประดาประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันไว้ในกฎบัตรถึงความ เชื่อมั่นในสิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐานในศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวบุคคล และในความเสมอกันแห่งสิทธิของ ทั้งชายและหญิง และได้ตัดสินใจที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมตลอดจนมาตรฐานแห่งชาติให้ ดีขึ้น ได้มีเสรีภาพมากขึ้น
ด้วยเหตุที่รัฐสมาชิกได้ปฏิญาณที่จะให้ได้มา โดยร่วมมือกับสหประชาชาติ ซึ่งการส่งเสริมการเคารพและการถือปฏิบัติโดยสากลต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ขั้นพื้นฐาน
ด้วยเหตุที่ความเข้าใจตรงกันในเรื่องสิทธิและเสรีภาพมีความสำคัญยิ่งเพื่อให้ปฏิญาณนี้เกิดสัมฤทธิผลอย่างเต็มเปี่ยมดังนั้น บัดนี้สมัชชาจึงประกาศให้
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้เป็นมาตรฐานร่วมกันแห่งความสำเร็จ สำหรับประชาชนทั้งหลายและประชาชาติทั้งปวง ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ปัจเจกบุคคลทุกผู้ทุกนามและองค์กรของสังคมทุกหน่วย โดยการระลึกเสมอ ๆ ถึงปฏิญญานี้ พยายามสั่งสอนและให้การสอนและให้การศึกษาเพื่อส่งเสริมการเคารพต่อสิทธิและ เสรีภาพเหล่านี้ และด้วยมาตรฐานที่เจริญก้าวหน้าไปข้างหน้า ทั้งในและระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับและการถือปฏิบัติต่อสิทธิเหล่านั้นสากลและได้ผล ทั้งในหมู่ประชาชนของรัฐสมาชิกเอง และในหมู่ประชาชนแห่งดินแดนที่อยู่ภายใต้ดุลอาณาของรัฐสมาชิกดังกล่าว"
เนื้อหาของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(โดยย่อ)
นอกจากเจตนารมณ์ที่ปรากฏในคำปรารภของปฏิญญา หลักการเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนสำคัญ 30 ประการที่ปรากฏในปฏิญญาได้แก่
1. มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาอิสระเสรีและเท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิทุก คนได้รับการประสิทธิประสาทเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง
2. บุคคลชอบที่จะมีสิทธิและเสรีภาพประดาที่ระบุไว้ในปฏิญาณนี้ ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใดๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นใด นอกจากนี้การจำแนกข้อแตกต่างโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมืองทางดุลอาณา หรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้ ทั้งนี้ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกราชอยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด
3. บุคคลมีสิทธิในการดำรงชีวิต ในเสรีธรรมและในความมั่นคงแห่งร่างกาย
4. บุคคลใดจะถูกบังคับให้เป็นทาส หรืออยู่ภาระจำยอมใดๆ มิได้การเป็นทาสและการค้าทาสจะมีไม่ได้ในทุกรูปแบบ
5. บุคคลใดจะถูกทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติ หรือการลงทัณฑ์ซึ่งทารุณโหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือหยามเกียรติมิได้
6. ทุกๆ คนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลในกฎหมายไม่ว่า ณ ที่ใด
7. ทุกๆ คนต่างเสมอกันในกฎหมายและชอบที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ ทุกๆ คนชอบที่จะได้รับการคุ้มครองอย่างเสมอหน้าจากการเลือกปฏิบัติใดๆ อันเป็นการล่วงละเมิดปฏิญญานี้ และต่อการยุยงส่งเสริมให้เกิดการเลือกปฏิบัติเช่นนั้น
8. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอย่างได้ผลโดยศาลแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจเนื่องจากการกระทำใดๆ อันละเมิดต่อสิทธิขั้นมูลฐาน ซึ่งตนได้รับจากรัฐธรรมนูญหรือจากกฎหมาย
9. บุคคลใดจะถูกจับ กักขัง หรือเนรเทศโดยพลการมิได้
10. บุคคลชอบที่จะเท่าเทียมกันอย่างบริบูรณ์ในอันที่จะได้รับการพิจารณา อย่างเป็นธรรมและเปิดเผยโดยศาลซึ่งเป็นอิสระและไร้อคติ ในการวินิจฉัยชี้ขาดสิทธิและหน้าที่ ตลอดจนข้อที่ตนถูกกล่าวหาใดๆ ทางอาญา
11. (1) บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาด้วยความผิดทางอาญา มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่า มีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาโดยเปิดเผย ณ ที่ซึ่งตนได้รับหลักประกันทั้งหมดที่จำเป็นในการต่อสู้คดี (2) บุคคลใดจะถูกถือว่ามีความผิดอันมีโทษทางอาญาใดๆ ด้วยเหตุผลที่ตนได้กระทำ หรือ และเว้นการกระทำการใดๆ ซึ่งกฎหมายของประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ในขณะที่มีการกระทำนั้นมิได้ระบุว่าเป็นความผิดทางอาญามิได้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่ใช้อยู่ในขณะที่การกระทำความผิด ทางอาญานั้นเกิดขึ้นมิได้
12. การเข้าไปแทรกสอดโดยพลการในกิจส่วนตัว ครอบครัว เคหะสถาน การส่งข่าสาร ตลอดจนการโจมตีต่อเกียรติยศและชื่อเสียงของบุคคลนั้นจะทำมิได้ ทุกๆ คน มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกสอดและโจมตีดังกล่าว
13. (1) บุคคลมิสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย และในถิ่นที่อยู่ภายในขอบเขตดินแดนของแต่ละรัฐ (2) บุคคลมิสิทธิที่จะเดินทางออกจากประเทศใดๆ รวมทั้งของตนเองและที่จะกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน
14. (1) บุคคลมีสิทธิที่จะแสวงหาและพักพิงในประเทศอื่นๆ เพื่อลี้ภัยจากการกดขี่ข่มเหง (2) สิทธินี้จะกล่าวอ้างมิได้ในกรณีการฟ้องคดี ซึ่งโดยความจริงเกิดจากความผิดที่ไม่ใช่เรื่องการเมือง หรือจากการกระทำที่ขัดต่อความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติ
15. (1) บุคคลมีสิทธิในการถือสัญชาติ (2) การถอนสัญชาติโดยพลการ หรือการปฏิเสธสิทธิที่จะเปลี่ยนสัญชาติของบุคคลใดนั้นจะกระทำมิได้
16. (1) ชายและหญิงเมื่อเจริญวัยบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิที่จะสมรสและที่จะสร้างครอบครัวโดยไม่มีการจำกัดใดๆ เนื่องจากเชื้อชาติ สัญชาติ หรือศาสนา บุคคลชอบที่จะมีสิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องการสมรส ในระหว่างการสมรสและในการขาดการสมรส (2) การสมรสจะกระทำได้ก็โดยความยินยอมอย่างเสรี และเต็มใจของคู่บ่าวสาวผู้ตั้งใจจะกระทำการสมรส (3) ครอบครัว คือ กลุ่มซึ่งเป็นหน่วยธรรมชาติและพื้นฐานของสังคมและชอบที่จะได้รับการคุ้มครอง โดยสังคมและรัฐ
17. (1) บุคคลมีสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยลำพังตนเอง และโดยการร่วมกับผู้อื่น (2) การยึดเอาทรัพย์สินของบุคคลใดไปเสียโดยพลการกระทำมิได้
18. บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพแห่งความคิด มโนธรรม และศาสนา สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะเปลี่ยนศาสนา หรือความเชื่อถือ และเสรีภาพ ที่จะแสดงให้ศาสนาหรือความเชื่อถือประจักษ์ในรูปของการสั่งสอน การปฏิบัติกิจความเคารพสักการะบูชา สวดมนต์ และการถือปฏิบัติพิธีกรรม ไม่ว่าโดยลำพังตนเอง หรือร่วมกับผู้อื่นในประชาคมและในที่สาธารณะหรือส่วนตัว
19. บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะยึดมั่นในความเห็นโดยปราศจากการแทรกสอดและที่จะ แสวงหารับ ตลอดจนแจ้งข่าว รวมทั้งความคิดเห็นโดยผ่านสื่อใดๆ และโดยมิต้องคำนึงถึงเขตแดน
20. (1) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการชุมนุม และการสมาคมโดยสงบ (2) การบังคับให้บุคคลเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมจะทำมิได้
21. (1) บุคคลมีสิทธิที่จะเข้าร่วมในรัฐบาลแห่งประเทศของตน ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยผู้แทนซึ่งผ่านการเลือกอย่างเสรี
(2) บุคคลมีสิทธิเข้าถึงเท่ากันในบริการสาธารณะในประเทศของตน
(3) เจตจำนงของประชาชนจะเป็นฐานแห่งอำนาจของรัฐบาล เจตจำนงนี้จะแสดงออก โดยการเลือกตั้งเป็นครั้งเป็นคราวอย่างแท้จริง ด้วยการให้สิทธิออกเสียงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันและโดยการลงคะแนนลับ หรือวิธีการลงคะแนนอย่างเสรีที่คล้ายคลึงกัน
22.ในฐานะสมาชิกของสังคมด้วยความเพียรพยายามของชาติตลอดจนความร่วมมือ ระหว่างประเทศและโดยสอดคล้องกับการจัดระเบียบและทรัยากรของแต่ละรัฐ บุคคลมีสิทธิในความมั่นคงทางสังคมและชอบที่จะได้รับผลแห่งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมซึ่งจำเป็นต่อศักดิ์ศรีและการพัฒนาบุคคลิกภาพอย่างเสรีของตน
23.(1) บุคคลมีสิทธิที่จะทำงานที่จะเลือกงานอย่างเสรี ที่จะมีสภาวะการทำงานที่ยุติธรรมและพอใจ และที่จะได้รับความคุ้มครองจากการว่างงาน
(2) บุคคลมิสิทธิในการรับค่าตอบแทนเท่ากันสำหรับการทำงานที่เท่ากัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติใดๆ
(3) บุคคลผู้ทำงานมีสิทธิในรายได้ซึ่งยุติธรรม และเอื้อประโยชน์เพื่อประกันสำหรับตนเองและครอบครัวให้การดำรงชีวิตมีค่าควร แก่ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และถ้าจำเป็นก็ชอบที่จะได้รับความคุ้มครองทางสังคมอื่นๆ เพิ่มเติม
(4) บุคคลมีสิทธิที่จะก่อตั้งและเข้าร่วมกับสหภาพแรงงานเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของตน
24 .บุคคลมีสิทธิในการพักผ่อนและเวลาว่าง รวมทั้งการจำกัดเวลาทำงานที่ชอบด้วยเหตุผลและมีวันหยุดครั้งคราวที่ได้รับค่าตอบแทน
25. (1) บุคคลมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอสำกรับสุขภาพ และความอยู่ดีของตนและครอบครัว รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และบริการสังคมที่จำเป็นและสิทธิในความมั่นคงในกรณีว่างงาน เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เป็นหม้าย วัยชรา หรือการขาดปัจจัยในการเลี้ยงชีพอื่นใดในพฤติการณ์อันเกิดจากที่ตนจะควบคุม ได้
(2) มารดาและบุตรชอบที่จะได้รับการดูแลแลความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เด็กทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบุตรในหรือนอกสมรสย่อมได้รับความคุ้มครองทางสังคม เช่นเดียวกัน
26.(1) บุคคลมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะเป็นสิ่งที่ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า อย่างน้อยที่สุดในขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน ขั้นประถมศึกษาให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ ขั้นเทคนิคและขั้นประกอบอาชีพเป็นการศึกษาที่จะต้องจัดมีขึ้นโดยทั่วๆ ไป และขั้นสูงเป็นขั้นที่จะเปิดให้ทุกคนเท่ากันตามความสามารถ
(2) การศึกษาจะมุ่งไปในทางพัฒนาบุคคลิกภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่และเพื่อเสริม พลังเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นมูลฐานให้แข็งแกร่ง ทั้งจะมุ่งเสริมความเข้าใจ ขันติ และมิตรภาพในระหว่างประชาชาติ กลุ่มเชื้อชาติ หรือกลุ่มศาสนา และจะมุ่งขยายกิจกรรมของสหประชาชาติเพื่อการธำรงสันติภาพ
(3) ผู้ปกครองมีสิทธิก่อนผู้อื่นที่จะเลือกชนิดของการศึกษาสำหรับบุตรหลานของตน
27.(1) บุคคลมีสิทธิที่จะเข้าร่วมการใช้ชีวิตทางด้านวัฒนธรรมในประชาคมอย่างเสรี ที่จะพึงใจในศิลปะและมีส่วนในความคืบหน้าและผลประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์
(2) บุคคลมีสิทธิในการรับความคุ้มครองประโยชน์ทางด้านศีลธรรมและทางวัตถุอันเป็น ผลได้จากการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมและศิลปะซึ่งตนเป็นเจ้าของ
28. บุคคลชอบที่จะได้รับประโยชน์จากระเบียบสังคมและระหว่างประเทศอันจะอำนวย ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพบรรดาที่ได้ระบุในปฏิญญานี้ทำได้อย่างเต็มที่
29.(1) บุคคลมีหน้าที่ต่อประชาชนอันเป็นที่เดียวซึ่งบุคคิกภาพของตนจะพัฒนาได้อย่างเสรีและเต็มความสามารถ
(2) ในการใช้สิทธิและเสรีภาพ บุคคลต้องอยู่ใต้เพียงเช่นที่จำกัดโดยกำหนดแห่งกฎหมายเฉพาะ เพื่อความมุ่งประสงค์ให้ได้มาซึ่งการยอมรับ และการเคารพโดยชอบในสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น และเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดอันยุติธรรมของศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชาติและสวัสดิการโดยทั่วๆ ไป ในสังคมประชาธิปไตย
(3) สิทธิและอิสรภาพเหล่านี้ มิว่าจะด้วยกรณีใดจะใช้ให้ขัดกับความมุ่งประสงค์และหลักการของสหประชาชาติไม่ได้
30. ข้อความต่างๆ ตามปฏิญญานี้ไม่เปิดช่องที่จะแปลความได้ว่าให้สิทธิใดๆ แก่รัฐ กลุ่มชนหรือบุคคลใดๆ ที่จะประกอบกิจกรรม หรือกระทำการใดๆ อันมุ่งต่อการทำลายสิทธิและเสรีภาพใดๆ บรรดาที่ได้ระบุไว้ในบทบัญญัติฉบับนี้

บทบัญบัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศเอธิโอเปีย

เอธิโอเปียนั้นประสบกับปัญหาใหญ่ภายในประเทศ ด้วยเนื่องจากการทำการรบอยู่บ่อยครั้งและประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศเอธิโอเปียเองพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอยู่บ่อยครั้งแต่กับไม่ประสบผลสมเร็จเท่าที่ควรชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยชนในประเทศก็ระสำระส่าย ประชาชนมากกว่าครึ่งประเทศหิวโหยรายได้หลักของประเทศก็มาจากการทำการเกษตร แต่การเกษตรยังเป็นรูปแบบเดิมๆล้าสมัยและยังประสบปัญหาการเกษตรล้มอยู่บ่อยครั้ง ประชาชนไม่ได้รับสิทธิอย่างเต็มที่เท่าที่ควรและยังมีการแบ่งแยกกันเองของพวกกลุ่มมุสลิมหัวรุนเรง ที่สร้างปํญหารบกวนอย่างหนักภายในประเทศอีกด้วย ประเทศเอธิโอเปียเลยถูกจัดให้เป็นชาติ ชาติหนึ่งที่ด้อยการพัฒนา สิทธิของประชาชนส่วนใหญ่มักจะได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือจากสหประชาชาติ โดยผ่ายสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติซึ่งมีกลุ่มประเทศที่อนุเคราะห์ช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือสูงที่สุด
สิทธิสภาพมนุษยชนต่างๆของประชาชนภายในประเทศเอธิโอเปีย เองก็มีความเป็นอยู่ที่แล้งแค้น ล้าสมัย และยากที่จะเข้าการใช้สิทธิของตนเอง ถึงแม้เศรษฐกิจระดับบนของเอธิโอเปียจะสูงขึ้นตามลำดับ แต่ปัญหาระดับล่างยังถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต

บทบัญบัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา ประกอบด้วย ประธานกรรมการหนึ่งคน และกรรมการอื่นอีกสิบคน ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
• เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฏหมาย กฏ หรือข้อบังคับ ต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
• ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสมอมาตรการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคล หรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าว เพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป
• ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน และองค์การอื่นในด้านสิทธิมนุษยชน
• ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้ต่างๆ ด้านสิทธิมนุษยชน

ปัญหาภายในประเทศเอธิโอเปีย



ประเทศเอธิโอเปีย


ชื่ออย่างเป็นทางการ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย
เมืองหลวง กรุงแอดดิสอาบาบา (Addis Ababa)
ระบอบการปกครอง แบบสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 9 รัฐ (States) และ 2 เขตปกครองพิเศษ (municipal councils) ได้แก่ เขตปกครองพิเศษแอดดิสอาบาบาและเขตปกครองพิเศษดิเรดาวา
ประชากร 83.18 ล้านคน (2553)
ภาษา Amarigna, Oromigna, Tigrigna, Somaligna,Guaragigna, อังกฤษ
ศาสนา คริสต์ 60.8%(ออโทรดอกซ์ 50.6%, โปรเตสแตนท์ 10.2%) อิสลาม 32.8 %, ความเชื่อดั้งเดิม 4.6 % อื่นๆ 1.8%

ประเทศเอธิเปียก่อนคริสตศักราชที่ 2000
ประเทศเอธิโอเปียเป็นหนึ่งในชาติที่มีประวัติศาสตร์อันต่อเนื่องยาวนานที่ สุดในทวีปแอฟริกาและเป็นดินแดนที่ได้รับอารยธรรมจากอียิปต์และกรีกตั้งแต่ สมัยโบราณ ดินแดนเอธิโอเปียก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกว่า อบิสสิเนีย ปกครองโดยราชวงศ์เอธิโอเปีย ซึ่งได้รับการสถาปนาโดยพระเจ้าเมเนลิก พระราชโอรสของพระเจ้าโซโลมอนและพระนางชีบา ในปี 2412 อิตาลีได้เข้ายึดครองแคว้นเอริเทรียของเอธิโอเปียและประกาศให้แคว้นเอริเทรี ยเป็นอาณานิคมของตนเมื่อปี 2433 แต่ในสนธิสัญญาสันติภาพอิตาลียังคงยอมรับเอกราชของเอธิโอเปียต่อไป เอธิโอเปียอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตรยิ์ไฮเล เซลัซซี (Haile Selassie) เป็นเวลากว่า 50 ปี โดย เซลัซซี ได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ (Regent) ในปี 2459 ต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี 2471 ปี 2479 อิตาลีได้รุกรานเอธิโอเปียและยึดเอธิโอเปีย เอริเทรีย และโซมาลีแลนด์ และประกาศรวมกันเป็นแอฟริกาตะวันออกของอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ในปี 2484 ภายใต้ความช่วยเหลือของกองทัพอังกฤษ กษัตริย์เซลัซซี สามารถยึดเอธิโอเปียคืนจากอิตาลีได้เป็นผลสำเร็จแต่อิตาลียังคงยึดแคว้นเอริ เทรียไว้ หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เอธิโอเปียได้เรียกร้องดินแดนเอริเทรียคืน และสหประชาชาติได้มีข้อมติที่ 380 A (V) ปี 2492 โดยให้เอริเทรียเป็นดินแดนปกครองของตนเองภายใต้จักรวรรดิเอธิโอเปีย แต่ต่อมาในปี 2505 เอธิโอเปียได้ทำการผนวกเอริเทรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในฐานะจังหวัด ที่ 14 และได้กลายเป็นชนวนการสู้รบระหว่างชาวเอริเทรียที่ต้องการเอกราชกับฝ่าย เอธิโอเปียเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2536 รัฐบาลเอธิโอเปียยอมให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับอนาคตการปกครองของประชาชนเอ ริเทรีย ซึ่งผลปรากฏว่า ประชามติเป็นเอกฉันท์ให้เอริเทรียแยกตัวออกจากเอธิโอเปีย

ประเทศเอธิโอเปียหลังคริสตศักราชที่2001-ปัจจุบัน


นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน
1. การเมืองการปกครอง
ในปี 2517 กลุ่มทหาร Provisional Military Administrative Council (PMAC) นำโดย พันเอก เมนกิซตุ ไฮลี มาริยาม (Colonel Mengistu Haile Mariam) ทำการปฏิวัติยึดอำนาจและโค่นล้มระบอบกษัตริย์ มาริยามรับเอาลัทธิมาร์กซิสต์และเลนิน (Marxist-Leninist ideology)มาใช้ในการปกครอง ซึ่งเป็นที่ไม่พอใจของนักวิชาการและผู้มีการศึกษาในระยะเวลาต่อมา ก่อให้เกิดการวิพากวิจารณ์จนกระทั่งก่อเป็นความรุนแรงขึ้นภายในประเทศ มาริยามใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงประมาณ 100,000 คนและอีกหลายร้อยคนอพยพออกนอกประเทศ

ต่อมาในปี 2534 พรรค Ethiopian People's Revolutionary Democratic Front (EPRDF) ยึดอำนาจทางการเมืองจากพันเอก เมนกิซตุ ไฮลี มาริยาม ได้สำเร็จและนับแต่นั้นมา EPRDF มีอิทธิพลอย่างสูงในการเมืองภายในประเทศเอธิโอเปีย โดยได้รับเลือกตั้งเป็นพรรครัฐบาลเสียงข้างมากในทุกสมัยการเลือกตั้ง (ปี 2538 ปี 2543 และล่าสุดปี 2548) อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคฝ่ายค้านหลายพรรคได้ออกมาประท้วงผลการนับคะแนนเสียงที่ล่าช้าและไม่เป็น ธรรม การประท้วงได้ลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรงและรัฐบาลเข้าปราบปรามอย่างเฉียบ ขาดทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน

เอธิโอเปียมีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ โครงสร้างการปกครองแบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดี ซึ่งเป็นประมุขของรัฐมาจากการเลือกตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรและอยู่ในตำแหน่ง คราวละ 6 ปี การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปจะมีขึ้นในเดือนตุลาคม 2556 พรรครัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย 2 สภาได้แก่ สภาแห่งสหพันธรัฐ (the House of Federation) ซึ่งเทียบเท่ากับวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร (House of People's Representatives) การเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2548 และจะมีขึ้นอีกครั้งในปี 2553

2. เศรษฐกิจและสังคม
ประเทศเอธิโอเปียเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เศรษฐกิจเอธิโอเปียยังพึ่งพารายได้จากภาคการเกษตรเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออกและร้อยละ 80 ของการจ้างงานโดยรวม การส่งออกกาแฟเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภาคการเกษตรยังไม่ได้รับการพัฒนาที่ดี แม้รัฐบาลจะได้ปฏิรูปที่ดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากขาดการวางแผนที่ดีและการเพาะปลูกยังพึ่งพาแหล่งน้ำฝนตามธรรมชาติ อยู่และปัญหาการชลประทานรวมทั้งวิธีการเพาะปลูกที่ล้าสมัย

ภาคบริการของเอธิโอเปียมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวการก่อสร้างและการคมนาคม โดยปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 41.2 ของรายได้ประชาชาติ รัฐบาลเอธิโอเปียมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งสัตว์ป่านานาชนิด อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเอธิโอเปียยังไม่มีการบริหารจัดการที่ดีเท่าใด นักและยังล้าหลังประเทศเคนยาอยู่มาก

นับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา รัฐบาลภายใต้การนำของ EPRDF ได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอิงแนวทางของธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ภายใต้กรอบนโยบาย Sustainable Development and Poverty Reduction Program (SDPRP) ในช่วงปี 2544/45 ถึง 2548/49 และแผน The Plan for Accelerated and Sustained Development to End Poverty (PASDEP) ในช่วงปี 2549/50 ถึง 2548/49 โดยมุ่งเน้น การแก้ปัญหาและขจัดความยากจน ความมั่นคงทางอาหาร การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปเศรษฐกิจของเอธิโอเปียบางครั้งถูกผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น การปราบปรามผู้ประท้วงฝ่ายค้านอย่างรุนแรงของพรรครัฐบาล สงครามกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในโซมาเลียและปัญหาชายแดนกับเอริเทรีย

3. นโยบายต่างประเทศ
3.1 นโยบายโดยรวม
ในอดีตรัฐบาลทหารเผด็จการของเอธิโอเปียดำเนินนโยบายซ้ายจัดในกลุ่มนิยมสหภาพ โซเวียต เพื่อรับการสนับสนุนด้านการทหารจากโซเวียตในการต่อต้านโซมาเลียและปราบปราม กบฏแบ่งแยกดินแดน อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันรัฐบาลเอธิโอเปียได้ประกาศนโยบายเคารพสิทธิและความเท่าเทียมกัน ของรัฐ และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของผู้อื่น เอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตก

ปัจจุบันเอธิโอเปียมีนโยบาย Look East โดยต้องการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชีย จีนได้เข้ามามีบทบาทมากในเอธิโอเปีย โดยเข้าไปดำเนินโครงการสร้างถนนตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ก็เข้าไปขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับเอธิโอเปียมากขึ้น ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เอธิโอเปียประสงค์ให้ร่วมเป็นหุ้นส่วน (partnership) ที่สำคัญของเอธิโอเปีย

เอธิโอเปียเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพแอฟริกา (African Union - AU)และถือเป็นเมืองหลวงของแอฟริกา นอกจากนี้ ยังเป็นสมาชิกของกลุ่มตลาดร่วมแห่งภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาตอนใต้ (Common Market for Eastern and Southern Africa - COMESA) ซึ่งเป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่มีประชากร 350 ล้านคน นอกจากนี้ เอธิโอเปียยังได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหภาพ ยุโรปและสหรัฐอเมริกา การเชื่อมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับเอธิโอเปียจึงเป็นการเชื่อม ความสัมพันธ์ทางการค้ากับ COMESA ตลอดจนสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

3.2 ปัญหาข้อพิพาทระหว่างเอธิโอเปียกับเอริเทรีย
ภายหลังจากแคว้นเอริเทรียแยกตัวจากเอธิโอเปียเป็นรัฐอธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2536 รัฐบาลรักษาการของเอธิโอเปียกับรัฐบาลกลางเอริเทรียได้ทำความตกลงกันในด้าน การทหารและการไม่รุกรานซึ่งกันและกัน และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการให้เสรีภาพแก่ประชาชน การขนส่งสินค้าและการบริการผ่านดินแดนของกันและกัน อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างสิทธิในการครอบครองดินแดนบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ในดินแดนที่เรียกว่า Badme เป็นสาเหตุที่นำไปสู่ความบาดหมางอย่างรุนแรงระหว่างเอธิโอเปียและเอริเทรีย

การปะทะกันเพื่อแย่งชิงดินแดน Badme เริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธโจมตีก่อน องค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และองค์การเอกภาพ แอฟริกา (Organization of African Unity - OAU ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น African Union) ได้พยายามเข้า ไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทและการสู้รบของทั้งสองประเทศหลายครั้ง จนกระทั่ง เอธิโอเปียและเอริเทรีย ได้ยุติสงครามอย่างเป็นทางการด้วยการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างกัน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 และได้จัดตั้ง Eritrea-Ethiopia Boundary Commission (EEBC) ภายใต้อาณัติของ Permanent Court of Arbitration เพื่อตกลงการแบ่งเขตดินแดนกันโดยสันติวิธี และมีการตัดสินในขั้นสุดท้ายสำเร็จ ในเดือนมีนาคม 2546

อย่างไรก็ดี ทั้งเอธิโอเปียและเอริเทรียต่างก็ไม่ยอมรับการตัดสินชี้ขาดของ EEBC และยังมีการปะทะกันตามแนวชายแดนอยู่เนืองๆ องค์การสหประชาชาติก็พยายามลดขนาดของกองกำลังรักษาสันติภาพ (UN Mission in Ethiopia and Eritrea - UNMEE) ลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าเจรจาร่วมกัน และยุติการทำงานของ UNMEE เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2551

3.3 บทบาทของเอธิโอเปียในโซมาเลีย
เอธิโอเปียได้เข้าไปข้องเกี่ยวกิจการภายในโซมาเลียมาช้านาน โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ทั้งสองประเทศได้ทำสงครามแย่งเขตแดนกันบ่อยครั้ง อย่างไรก็ดี รัฐโซมาลี (Somaliland) ของเอธิโอเปียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางเชื้อชาติกับประชากรของโซมาเลีย ดังนั้น เอธิโอเปียจึงยังพยายาม ใช้นโยบายควบคุมความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มต่างๆ ในโซมาเลีย โดยเฉพาะให้การสนับสนุนรัฐ Somaliland และ Puntland นอกจากนี้ นาย Meles Zenawi นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ นาย Abdullahi Yusuf Ahmed ผู้นำรัฐบาลพลัดถิ่นของโซมาเลีย

ในเดือนธันวาคม 2549 กองกำลังทหารของเอธิโอเปียได้รุกเข้าไปในโซมาเลียเพื่อโค่นล้มกลุ่มอิสลาม หัวรุนแรง (Union of Islamic Court - UIC) ซึ่งได้ยึดอำนาจทางภาคใต้ของโซมาเลียเกือบทั้งหมดไว้ตั้งแต่ต้นปี 2549 โดยเอธิโอเปียอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและการก่อการร้ายโดยกลุ่ม UIC ซึ่งคุกคามต่อความมั่นคงของเอธิโอเปีย และในเดือนสิงหาคม 2550 สหภาพแอฟริกา (African Union - AU) ได้ส่งกองกำลังทหารเข้าร่วมรักษาสันติภาพในโซมาเลีย อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเอธิโอเปียกับโซมาเลียโดยรวมไม่ราบรื่นเท่าไรนัก
ความสัมพัทธ์ระหว่างไทย-เอธิโอเปีย
1. ความสัมพันธ์ทั่วไป
1.1 ความสัมพันธ์ด้านการเมือง
ไทยมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับเอธิโอเปีย โดยไทยเห็นความสำคัญของเอธิโอเปียในฐานะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหภาพ แอฟริกาและเป็นเสมือนเมืองหลวงของทวีปนี้ รวมทั้งเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญใน Horn of Africa ส่วนเอธิโอเปียเห็นความสำคัญของไทยในฐานะมิตรประเทศที่เป็นตัวอย่างในการ พัฒนา

1.2 ด้านการทูต
ไทยและเอธิโอเปียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2507 และในปีเดียวกันไทยได้เปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแอดดิสอาบาบา แต่ต่อมาในปี 2524 ไทยได้ ปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแอดดิสอาบาบาลง เนื่องจากความไม่สงบภายในเอธิโอเปีย หลังจากนั้น ได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี มีเขตอาณาครอบคลุมเอธิโอเปีย ปัจจุบันเอธิโอเปียอยู่ในเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ในขณะที่เอธิโอเปียได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตเอธิโอเปียประจำสาธารณรัฐ ประชาชนจีน มีเขตอาณาครอบคลุมไทย แต่ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนให้สถานเอกอัครราชทูตเอธิโอเปียประจำสาธารณรัฐ อินเดีย มีเขตอาณาครอบคลุมไทย

1.3 ด้านเศรษฐกิจ
ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับเอธิโอเปียเติบโตขึ้นเป็นลำดับ โดยส่วนใหญ่ไทยส่งออกมากกว่าการนำเข้า จึงอยู่ในฐานะได้เปรียบดุลการค้าตลอดมา สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ เม็ดพลาสติก ข้าว เสื้อผ้าสำเร็จรูป รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า ได้แก่ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ การค้าระหว่างไทยและเอธิโอเปียในปี 2552 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 22.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นสินค้าส่งออกจากไทยมูลค่า 19.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 2.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ดุลการค้า 17.27ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบันชาวเอธิโอเปียนิยมเดินทางมาซื้อสินค้าในไทย ทั้งเสื้อผ้าและสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งนิยมเดินทางมารับการบริการด้านสุขภาพในไทยเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากไทย มีมาตรฐานการรักษา พยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีบริการที่ดี และค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก รวมทั้งมีสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ที่บินตรงมาไทย และในปัจจุบันโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ได้ไปเปิดสาขาอยู่ที่กรุงแอดดิสอาบาบา

1.4 ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรม
ไทยกำหนดให้เอธิโอเปียเป็นประเทศที่อยู่ในโครงการความช่วยเหลือของไทย (Thai Aid Programme) ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือในรูปทุนการศึกษา/ฝึกอบรมและดูงานในด้านการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสาขาที่ไทยมีความชำนาญ และเป็นที่ต้องการของประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ สาขาการเกษตร สาธารณสุขและการศึกษา

เอธิโอเปียได้รับทุนฝึกอบรมประจำปี (Annual International Training Course: AITC)จากไทยเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ยังได้รับทุนอบรมในหลักสูตรฝึกอบรม Training of Trainers on Agriculture Extension and development for Africa ในประเทศไทย ซึ่งจัดเป็นพิเศษโดยความร่วมมือระหว่าง สพร. และ JICA ให้กับบุคลากรจาก 6 ประเทศได้แก่ เอธิโอเปีย มาลาวี แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา และแซมเบีย โดยเน้นการฝึกอบรมด้านการพัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจพอเพียง การเสริมสร้างกลุ่มเกษตรกร การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี คือ ปี 2549-2551

2. ความตกลงที่สำคัญๆ กับไทย
ไทยและเอธิโอเปียได้ลงนามความตกลงทางด้านการบริการเดินอากาศเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2535 ในปัจจุบันสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ (Ethiopian Airline) มีเที่ยวบินตรงระหว่างไทย-เอธิโอเปียสัปดาห์ละ 7 เที่ยว นอกจากนี้ ไทยและเอธิโอเปียได้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางสาธารณสุข เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2551 ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลกที่นครเจนีวา สมัยที่ 61

ความตกลงที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ได้แก่ ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนและความตกลงเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งฝ่ายเอธิโอเปียประสงค์จะทำความตกลงดังกล่าว และฝ่ายไทยได้ส่งร่างมาตรฐานให้ฝ่ายเอธิโอเปียพิจารณา

3. การเยือนของผู้นำระดับสูง
ไทยและเอธิโอเปียยังไม่เคยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างเป็นทางการ แต่ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ได้พบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเอธิโอเปีย (นาย Seyoum Mesfin) ระหว่างการประชุม AU Summit เมื่อปี 2549 และนาย Mesfin ยังได้แวะผ่านไทยอย่างไม่เป็นทางการหลายครั้ง

คณะจากเอธิโอเปียจำนวน 3 คน ประกอบด้วย 1. H.E. Mr. Fikru Desalegne, State Minister, Ministry of Capacity Building of the Federal Democratic 2. Dr. Hailemichael Aberra, President of the Civil Service College of Ethiopia และ 3. Dr. Negussie Negash, Coordinator in the Civil Service College of Ethiopia ได้เดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการอบรมเกี่ยวกับ Public administration ซึ่งจัดโดยสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Institute for the Promotion of Good Governance) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 51

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา นายเซยุม เมสฟิน (H.E. Mr. Seyoum Mesfin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบหารือกับนายพิษณุ จันทร์วิทัน อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ณ กระทรวงการต่างประเทศ


ผลกระทบปัญหาภายในประเทศเอธิโอเปียต่อไทยต่อโลก

ปัญหาสิทธิมนุษยชนในเอธิโอเปียนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับประเทศไทยมากเท่าไรนักเพราะเราเป็นเพียงประเทศผู้บริจาคร่วมกับองค์กรสหประชาชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เป็นแต่เพียงประเทศคู่ค้ารายย่อยเท่านั้น ดังนั้นปัญหาภายในของประเทศเอธิโอเปีย จึงไม่สงผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศไทย

แต่ปัญหาภายในประเทศเอธิโอเปียเองกับกลายว่าเป็นปัญหาใหญ่ละดับชาติ ที่ทุกชาติร่วมช่วยกันค่อยช่วยเหลือผ่านหน่วยงานในสหประชาชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศเอธิโอเปีย ให้ได้รับสิทธิ์อย่างที่ควรจะได้รับ เอธิโอเปียเองต้องทำการรบกับเพื่อนบ้าน และปราบปรามกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง จนทำให้งบประมาณประเทศส่วนใหญ่จะเน้นในด้านการทหารมากกว่าปัญหาประชากรในประเทศ และเนื่องจากประเทศตั้งอยู่ในภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย ขาดแหล่งน้ำ ทำให้การเกษตรที่เป็นรายได้หลักของประเทศมักจะล้มอยู่บ่อยครั้ง


ประชากรเอธิโอเปียเองก็มีถึง 80 กว่าล้านคน มากกว่าครึ่งที่ต้องหิวโหย ถึงแม้รัฐบาลเอธิโอเปียมีนโยบายขจัดความยากจนและต้องการพัฒนาประเทศให้เป็นผู้ส่ง ออกทางด้านอาหารและสินค้าเกษตรในอนาคต แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเพราะปัจจัยทางธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย

ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือสิทธิมนุษยชนในประเทศเอธิโอเปียผ่านองค์การยูเนสโก(U.N.)

ความช่วยเหลือทางการเมือง-การทหาร
ปัญหาข้อพิพาทระหว่างเอธิโอเปียกับเอริเทรีย ภายหลังจากแคว้นเอริเทรียแยกตัวจากเอธิโอเปียเป็นรัฐอธิปไตยเมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2536 รัฐบาลรักษาการของเอธิโอเปียได้ทำความตกสองฝ่ายในด้านการทหารและการไม่ รุกรานซึ่งกันและกันกับรัฐบาลกลางเอริเทรีย และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการให้เสรีภาพแก่ประชาชน การขนส่งสินค้าและการบริการผ่านดินแดนของกันและกัน อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างสิทธิ ในการครอบครองดินแดนบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ในส่วนที่เรียกว่า Badme เป็นสาเหตุที่นำไปสู่ความบาดหมางอย่างรุนแรงระหว่างเอธิโอเปียและเอริเทรีย การปะทะกันเพื่อแย่งชิงดินแดน Badme เริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 โดยทั้งสองฝ่าย ต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธโจมตีก่อน องค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และองค์การเอกภาพแอฟริกา (Organization of African Unity – OAU ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น African Union) ได้พยายามเข้าไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทและการสู้รบของทั้งสองประเทศหลาย ครั้ง จนกระทั่ง เอธิโอเปียและเอริเทรียได้ยุติสงครามอย่างเป็นทางการด้วยการลงนามในสนธิ สัญญาสันติภาพระหว่างกัน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 และได้จัดตั้ง Eritrea-Ethiopia Boundary Commission (EEBC) ภายใต้อาณัติของ Permanent Court of Arbitration ขึ้น เพื่อตกลงการแบ่งเขตดินแดนกันโดยสันติวิธี และมีการตัดสินในขั้นสุดท้ายสำเร็จ ในเดือนมีนาคม 2546 อย่างไรก็ดี ทั้งเอธิโอเปียและเอริเทรียต่างก็ไม่ยอมรับการตัดสินชี้ขาดของ EEBC และยังมีการปะทะกันตามแนวชายแดนอยู่เนืองๆ องค์การสหประชาชาติก็พยายามลดขนาดของกองกำลังรักษาสันติภาพ (UN Mission in Ethiopia and Eritrea – UNMEE) ลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าเจรจาร่วมกัน
ด้านเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจเอธิโอเปียยังพึ่งพารายได้จากภาคกสิกรรมเป็นหลัก แม้รัฐบาลจะได้ปฏิรูปที่ดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากขาดการวางแผนที่ดี และการเพาะปลูกยังพึ่งพาแหล่งน้ำฝนตามธรรมชาติอยู่เกือบทั้งหมด มีปัญหาการชลประทานรวมทั้งวิธีการเพาะปลูกที่ล้าสมัย ในขณะเดียวกันภาคบริการของเอธิโอเปียก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกระทั่งปัจจุบัน มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติ โดยภาคส่วนที่มีอัตราการเติบโตสูงได้แก่การบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว การก่อสร้างที่อยู่อาศัยและการคมนาคม รัฐบาลเอธิโอเปียมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งสัตว์ป่า แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเอธิโอเปียยังไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เท่าใดนัก และยังล้าหลังเคนยาอยู่มาก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเอธิโอเปียประมาณปีละ 2 แสนคน
นับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอิงแนวทางของธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ภายใต้กรอบนโยบาย Sustainable Development and Poverty Reduction Programme (SDPRP) ตามเงื่อนไขของ IMF และประเทศผู้บริจาคต่างๆ ซึ่งถือได้ว่าประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของนักลงทุน และบรรดาประเทศผู้บริจาคต่างๆ เนื่องจากการปฏิรูปเศรษฐกิจนำไปสู่ระบบเสรีเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป การแปรรูปรัฐวิสาหกิจยังมีน้อย และโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น ถนน และระบบสาธารณูปโภค ยังไม่เอื้อต่อการลงทุนขนาดใหญ่
ความสำเร็จของการปฏิรูปเศรษฐกิจของเอธิโอเปียขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือที่ ได้รับจากประเทศผู้บริจาคเป็นสำคัญ ซึ่งในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ได้มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ประเทศผู้บริจาคมีความห่วงกังวล เช่น การปราบปรามผู้ประท้วงฝ่ายค้านอย่างรุนแรง สงครามกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในโซมาเลีย และปัญหาชายแดนกับเอริเทรีย นอกจากนี้ กลุ่มกบฏ Ogaden National Liberation Front (ONLF) ยังได้โจมตีฐานขุดเจาะน้ำมันของจีนที่เมือง Ogaden เมื่อเดือนเมษายน 2550 ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติในเอธิโอเปียขาดความมั่นใจ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจเอธิโอเปียจะเติบโตในอัตราร้อยละ 7.5 ในปี 2550-2551 มีบริษัทต่างชาติใหม่ๆ เข้าไปลงทุนในเอธิโอเปีย เช่น Starbucks รวมทั้งการลงทุนการผลิตพลังงานชีวภาพก็เพิ่มขึ้นด้วย